8 สถานที่ห้ามพลาดในโทโฮคุ 

สัมผัสสุดยอดทัศนียภาพในดวงใจให้หายคิดถึงญี่ปุ่น

ช่วงนี้หลายคนก็คงคิดถึงญี่ปุ่นกันอยู่ใช่มั้ยคะ วันนี้เลยขอมาแนะนำสถานที่สวยๆ สุดประทับใจใน ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) กับสุดยอดทัศนียภาพในดวงใจที่น่าไปเยือน เพราะมีความงดงามทั้งภูเขา ต้นไม้ ใบไม้เปลี่ยนสี รวมถึงผลไม้ตามฤดูกาลอย่างแอปเปิ้ล โดยจะเริ่มจากช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ วันนี้จะพาไปชม 8 สถานที่ไฮไลท์ห้ามพลาดในโทโฮคุ คัดมาแบบเน้นๆ กับสุดยอดวิวปังแสนโรแมนติก เอาไว้ควงคนรู้ใจหรือเพื่อนไปถ่ายรูปด้วยกัน แถมอากาศช่วงนั้นก็ยังเย็นสบายน่าไปเที่ยวชมแบบสุดๆ มาร่วมสัมผัสความงดงามของสุดยอดทัศนียภาพในดวงใจให้หายคิดถึงญี่ปุ่นด้วยกันค่ะ 


1. Apple Picking 

มาเลือกแอปเปิ้ลในดวงใจ ณ อาณาจักรแอปเปิ้ลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

ลุยสวนแอปเปิ้ลทั้งทีก็ต้องมาที่นี่เลยค่ะ นอกจากแอปเปิ้ลจะรสชาติหวานอร่อยแล้ว ถ่ายรูปกับวิวสวนก็ยังปังไม่แพ้กัน จังหวัดอะโอโมริ (Aomori) เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม นอกจากนี้ ยังผลิตแอปเปิ้ลสูงที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งแอปเปิ้ลหวานๆ เปี่ยมด้วยคุณภาพนี้ ได้รับความนิยมในต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยส่งออกไปยังประเทศไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจากไต้หวันและฮ่องกง ใครที่ได้มาลิ้มลองต่างก็ต้องติดใจค่ะ

สวนแอปเปิ้ล เมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki Apple Park) ในเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) เป็นสวนที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องวิวทิวทัศน์เพราะว่าตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวของภูเขาอิวากิ (Mt. Iwaki) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภูเขา Tsugarufuji อันเลืองชื่อได้อย่างชัดเจน และยังเห็นวิวเมืองทสึการุ (Tsugaru) โดยรอบได้อีกด้วย

ภายในสวนมีต้นแอปเปิ้ลกว่า 80 สายพันธุ์ รวมกว่า 2,300 ต้น ให้นักท่องเที่ยวได้มาทดลองเก็บแอปเปิ้ลจากต้นกันได้ ตั้งแต่ในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน สามารถถ่ายรูปกับวิวสวนสวยๆ พร้อมถือลูกแอปเปิ้ลโตๆ โพสท่าลงโซเชียลอวดเพื่อนให้ได้อิจฉากันด้วย

อย่าพลาดโอกาสที่จะได้ชมแอปเปิ้ลสุดอร่อยกว่า 50 สายพันธุ์ วัดกันให้รู้ไปเลยว่าอันไหนอร่อยสุด หรือจะไปเดินช้อปปิ้งในโซนร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ล เช่น น้ำแอปเปิ้ล และพายแอปเปิ้ล ฯลฯ ตลอดจนอาหารว่างและมุมรับประทานอาหาร และยังมีสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยของเล่นมากมาย รวมทั้งเวิร์คชอปเกี่ยวกับแอปเปิ้ลซึ่งสามารถร่วมทำกันได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ 

รายละเอียดสวนแอปเปิ้ลต่างๆ ที่เปิดให้บริการ : https://www.hirosaki-kanko.or.jp/en/ 


2. เมืองฮิราอิสุมิ (Hiraizumi) หมู่บ้านมรดกโลก

และวัดชูซอนจิ (Chuson-ji Temple)

มาตามรอยประวัติศาสตร์แห่งภูมิภาคโทโฮคุ กับ เมืองฮิราอิสุมิ จังหวัดอิวาเตะ (Iwate) ที่เต็มไปด้วยความรุ่งเรืองทางศาสนามากในช่วงศตวรรษที่ 11-12 พร้อมทิวทัศน์อันสวยงามในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่จะทำให้เพื่อนๆ คลายความคิดถึงญี่ปุ่นลงได้บ้าง ในเมืองมีวัดและปราสาทต่างๆ มากมาย

มีสถานที่ชื่อดังทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ วัดชูซอนจิ (Chuson-ji Temple) วัดโมสึจิ (Motsuji Temple) ซากโบราณสถาน Kanjizaiouin, Mugenkouin และ ภูเขา Kinkei (Mount Kinkei) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ “Hiraizumi – Temples, Gardens and Archaeological Sites Representing the Buddhist Pure Land” ซึ่งสวนแห่งความบริสุทธิ์นี้เชื่อมไปยังภูเขา Kinkei อันศักดิ์สิทธิ์ด้วย

ส่วนวิหารทองคำคอนจิคิโด เปรียบเหมือนวัดชูซอนจิ บริเวณทางเข้าวัดและอาคารโดยรอบ ต่างรายล้อมไปด้วยใบไม้แดงนานาพันธุ์ บรรยากาศสวยงามเกินบรรยาย ท่ามกลางความเงียบสงบและอากาศเย็นสบาย ตัววิหารประทับด้วยทองคำเปลวทั้งด้านในและด้านนอก

ในตอนกลางคืนจะเรืองแรงสีขาว เป็นวิหารที่มีความงดงามทางศิลปะด้วยแขนงต่างๆ เช่น งานแกะสลัก ฉลุโลหะ และเทคนิคงานฝีมือในสมัยเฮอัน ซึ่งถือว่าเป็นผลงานศิลปะอันล้ำค่า ในปัจจุบันวัดชูซอนจิยังมีหอเก็บสมบัติซันโกโสะ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติและมรดกทางวัฒนธรรมกว่า 3000 ชิ้น ทำให้วัดชูซอนจิมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกพากันมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก หากมีโอกาสก็ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองกันสักครั้งนะคะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://www.chusonji.or.jp/language_th/index.html
Location :https://goo.gl/maps/rJRC2UkeWj7X3Tzq5
เวลาทำการ :8.30-16.30 น.
ค่าใช้จ่าย :ผู้ใหญ่ 800 เยน นักเรียนมัธยมปลาย 500 เยน นักเรียนมัธยมต้น 300 เยน นักเรียนประถม 200 เยน
การเดินทาง :จากสถานี Hiraizumi โดยสารรถประจำทาง Run Run Loop Bus ใช้เวลา 10 นาที

3. Dakigaeri Gorge (Semboku, Akita) 

หุบเขาสุดงามระดับมิชลินการันตี

“หุบเขาดาคิกาเอริ (Dakigaeri Gorge)” สวรรค์ของคนรักธรรมชาติเลยค่ะ เพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของ เมืองเซมโบกุ (Semboku) จังหวัดอาคิตะ (Akita) ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่เหล่าบรรดาใบไม้ต่างพร้อมใจกันเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีส้มและแดง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสี เพราะความงดงามเต็มไปด้วยสีสันจากใบไม้สีแดง ส้ม เหลือง จะตัดกับสีเขียวมรกตของแม่น้ำทามะ (Tama River) ที่ไหลผ่านบริเวณช่องเขา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำสถานที่แห่งนี้ 

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://www.city.semboku.akita.jp/en/sightseeing/spot/05_dakigaeri.html
Location :https://goo.gl/maps/rnSqpZjATp5cSw586
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
การเดินทาง :นั่งแท็กซี่ประมาณ 15 นาที จากสถานี Kakunodate ช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีรถให้บริการจากสถานี Kakunodate
(ควรตรวจสอบตารางรถโดยสารอีกครั้งเพื่อความแน่นอนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง)

4. Okama Crater lake (Mount Zao, Miyagi) 

สุดตระการตาทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ

โอคามะ (Okama) ทะเลสาบห้าสีสุดงดงาม ที่รอให้ทุกคนไปเยือน ณ ปลายทางของถนนใบไม้แดงอันคดเคี้ยว เราสามารถชมวิวแบบพาโนรามาไปได้ตลอดทาง โอคามะ เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ (Okama Crater lake) ตั้งอยู่บนภูเขาไฟซาโอะ (Mount Zao) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่สร้างขึ้นในสมัยโบราณ บริเวณชายแดนจังหวัดมิยางิ (Miyagi) และจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) น้ำในทะเลสาบจะมีสีเขียวมรกตเป็นประกายวิบวับ โดยสีของทะเลสาบนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ และแสงแดดที่มาตกกระทบ

ดังนั้นทะเลสาบแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “ทะเลสาบห้าสี” มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 330 เมตร และมีความลึกอยู่ที่ 27 เมตร ด้วยรูปร่างที่เหมือนกับหม้อทำอาหารที่มีน้ำใส่อยู่ จึงเป็นที่มาของชื่อ “โอคามะ” เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากๆ จนเปรียบเหมือนตัวแทนของจังหวัดมิยางิ (Miyagi)

Zao Echo Line ถนนที่เชื่อมระหว่างจังหวัดมิยางิและยามากาตะ เป็นอีกหนึ่งจุมชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดัง ซึ่งเป็นเส้นทางในการไปชมโอคามะ เหล่าบรรดาใบไม้จะทยอยเปลี่ยนสีจากเขียว เป็นสีแดง ส้ม เหลืองสลับกันไป โดยไล่ตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขา นอกจากนี้ยังมีน้ำตกต่างๆ เช่น น้ำตก Sankai (น้ำตกสามชั้น) น้ำตก Kaerazu ให้ได้ชมระหว่างทางอีกด้วย เมื่อเข้าใกล้ยอดเขาจะเริ่มมองเห็นผิวขรุขระของหินภูเขาไฟที่ยื่นออกมา ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แดงตระการตาอันเป็นเอกลักษณ์ของ Zao อีกหนึ่งสถานที่ที่แนะนำให้ปักหมุดไปเช็คอินกับวิวอันสวยงามกันค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://miyagizao-navi.jp/th/detail/detail_2768/
Location :https://goo.gl/maps/GzDDPUxWbKkP74bf6
เวลาทำการ : 7:30-17:00 น.
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
การเดินทาง :แนะนำให้เช่ารถจากจังหวัดมิยางิหรือยามากะตะ

5. Yamadera Temple (Yamagata) 

ชมความงดงาม วัดยามาเดระ 1000 ปี

เดินขึ้นเนินเขาชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่ วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) หรือ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วัดริชชะกุจิ (Risshakuji Temple) เป็นวัดของนิกายเทนโด  ตั้งอยู่บนเขาโฮจุซัง (Hojuzan) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ก่อตั้งขึ้นในปี 860 มีอายุมากกว่า 1,000 ปี เนื่องจากตั้งอยู่ติดกับเขาจึงได้ชื่อว่า Yamadera (Yama=ภูเขา, Tera=วัด) นอกจากจะได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายมาเยือนที่วัดนี้ เพราะหลงใหลในความงามของหอคัดลอกพระสูตรโนเคียวโดะ (Nokyodo) สีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของขุนเขา

ใช้เวลาเดินขึ้นไปยังวัดประมาณ 30 นาที เส้นทางเดินขึ้นไปเป็นบันไดหิน 1,015 ขั้น ว่ากันว่าขณะเดินขึ้นในแต่ละก้าวเป็นการขูดกิเลศ ตันหาและขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ระหว่างทางจะมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์และจุดชมวิวอันสวยงามมากมาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มักใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์และโฆษณา นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่นักกวีชื่อดัง Matsuo Basho มาเยือนและแต่งกวีเลื่องชื่อไว้ด้วย

ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะสามารถเห็นวัดและใบไม้เปลี่ยนสีต่างๆ ได้จากสถานี Yamadera เรียกได้ว่าเดินชมได้ตั้งแต่ลงจากสถานีไปจนถึงตัววัดเลยทีเดียว ความงดงามของสีสันโดยรอบช่วยเติมเต็มความสุขให้ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://www.yamaderakankou.com/index.html
Location :https://goo.gl/maps/ARxdc9P2qsBLFntM6
เวลาทำการ :8.00 – 17.00 น.
ค่าใช้จ่าย :300 เยน
การเดินทาง :จากสถานีรถไฟ Yamadera Station เดินประมาณ 7 นาที

6. Kuimarusho (Onuma, Fukushima)

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้าน

คุอิมารุโช (Kuimarusho) จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีแห่งใหม่ ที่นี่ตื่นตาตื่นใจใครหลายคนไม่น้อย กับบรรยากาศต้นแปะก๊วยยักษ์สีเหลืองทองอร่ามตา ยืนจ้องมองความสวยงามจนไม่อยากกระพริบตาเลยทีเดียว ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้าน และยังเป็นอดีตโรงเรียนประถมของหมู่บ้านอายุเก่าแก่กว่า 80 ปี ในจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) เป็นอาคารเรียนที่ทำด้วยไม้ ต่อมาได้ทำการปรับปรุงเป็นสถานที่สำหรับเที่ยวชมและแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ภายในอาคารปรับปรุงเป็นห้องเรียน ห้องสมุด ห้องดนตรี และพื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ โดยยังคงเหลืออุปกรณ์ในยุคโชวะไว้อย่างเป็นเอกลักษณ์ เช่น โต๊ะไม้ ออร์แกน กระดานดำ ฯลฯ

ด้านหน้าอาคาร มีต้นแปะก๊วยเก่าแก่อายุกว่า 120 ปี สูงกว่า 20 เมตร ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามสูงตระหง่านตา และมีการเปิดไฟไลท์อัพในช่วงกลางคืน ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและอ่อนโยน หลังจากที่ได้รับการปรับปรุงในปี ค.ศ. 2018 ทำให้กลายมาเป็นจุดท่องเที่ยวชมความงดงามของใบแปะก๊วยยักษ์ต้นนี้ และภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรเพียง 1,300 คนเศษเท่านั้น เลยสามารถชมความงามได้โดยที่ไม่มีคนมารบกวน เมื่อเดินชมบรรยากาศสวยๆ เพลินตากันแล้ว มาแวะร้านกาแฟน่ารัก SCHOLA เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านข้างคุอิมารุโช นอกจากจะได้ดื่มกาแฟ และเครื่องดื่มเย็นๆ แล้ว ยังมีเมนูโฮมเมดแสนอร่อยให้ได้ลิ้มลองกันด้วย มาย้อนวัยสวมบทเป็นเด็กประถมสัมผัสกับบรรกาศญี่ปุ่นแบบเดิมๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://bit.ly/3nUuTIp
Location :https://goo.gl/maps/zwvsVRdjYh1kSmwr6
เวลาทำการ :9.00 – 17.00 น.
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
การเดินทาง :จากสถานี Aizu-Kawaguchi โดยสารรถประจำทาง Aizu Bus ลงป้าย Kuimarushimo ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

7. Yahiko Park

สวนยาฮิโกะ Maple Velley แห่งจังหวัด Niigata

ตามความสวยงามของสีสันใบไม้แดงมาที่ สวนยาฮิโกะ (Yahiko Park) ที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานี JR Yahiko ที่เป็นสวนสาธารณะในหมู่บ้านออนเซ็นยาฮิโกะ (Yahiko Onsenkyo) จังหวัดนีงาตะ (Niigata) สถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดนีงาตะ มีพื้นที่ที่กว้างถึง 160,000 ตารางเมตร รายล้อมไปด้วยน้ำตกและลำธารอันสวยงาม พร้อมกับสะพานและอุโมงค์ต่างๆ รวมถึงศาลเจ้า Yahiko ที่อยากให้มาเที่ยวชมกันค่ะ

ที่นี่มี Maple Velley ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสวนนี้ มีจุดชมใบไม้แดงที่สวยที่สุดบริเวณสะพานคันทสึกิ (Kantsuki Bridge) ซึ่งเป็นสะพานสีแดงที่ทอดยาวข้างสระน้ำ สร้างความโรแมนติกให้แก่ผู้มาเยือนได้ไม่น้อย จะเดินเล่นเก็บภาพมุมต่างๆ ก็เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ และยังมีต้นเมเปิ้ลโน้มกิ่งมาคลุมราวสะพานไว้ ทำให้เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ในช่วงกลางคืนมีการเปิดไฟไลท์อัพสำหรับชมวิวยามค่ำยืน ให้บรรยากาศที่เงียบสงบและลึกลับราวกับก้าวเข้ามาอีกโลกหนึ่งด้วย

นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการดอกเบญจมาศ ซึ่งมีผู้จัดแสดงและจำนวนสินค้ามากที่สุดในญี่ปุ่น ภายในงานสามารถเพลิดเพลินไปกับการผสมผสานกันระหว่างศิลปะและดอกเบญจมาศ พร้อมกับการชมความงดงามของใบไม้แดงที่สามารถชมได้ในฤดูนี้เท่านั้น เรียกได้ว่าถ้ามา จังหวัดนีงาตะ แล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่าพลาดเลยล่ะค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://enjoyniigata.com/en/spot/7482
Location :https://goo.gl/maps/B9fW9mHsEZGJCNbDA
เวลาทำการ :24 ชั่วโมง
ช่วงเปิดไฟ :ปลายเดือนตุลาคมจนหมดฤดูใบไม้ร่วง เวลา 17.00-21.00 น.
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
การเดินทาง :จากสถานี JR Yahiko เดินต่ออีกประมาณ 50 เมตร, กรณีขับรถมาใช้ถนนเส้น Hokuriku Expressway
Sanjo Tsubame IC ประมาณ 25 นาที

8. Zuihoden Mausoleum (Sendai, Miyagi)

จุดชมใบไม้แดงยอดนิยมของเซนได

สุสานซูอิโฮเดน (Zuihoden Mausoleum) ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสุสาน แต่บรรยากาศก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้แดงที่นิยมมาก ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี ในเมืองเซนได (Sendai) จังหวัดมิยางิ (Miyagi) โดยสุสานซูอิโฮเดน เป็นที่ตั้งของหลุมศพท่าน Date Masamune ซึ่งเคยเป็นผู้ครองเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดในสมัยเอโดะ เป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของทั้งเซนไดและประเทศญี่ปุ่น

หากมาเที่ยวชมในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ใบไม้จะเริ่มไล่เฉดเปลี่ยนสี เป็นสีแดงไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความสงบของป่าและบันไดหิน อากาศเย็นสบาย เกิดเป็นความลงตัวระหว่างสีเขียวชอุ่มของต้นไผ่และสีแดง ส้ม เหลืองของใบเมเปิ้ล ผสานกับสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นออกมาเป็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ สวยงามจนลืมไปว่าที่นี่คือสุสานเลยล่ะค่ะ

โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็น ช่วงพีคที่สุดของศาลเจ้า จะมีการเปิดไฟไลท์อัพตอนกลางคืนในธีม “ชมใบไม้แดง” และยังมีการแสดงโชว์ทัพของ Date Masamune ราวกับได้ย้อนไปในญี่ปุ่นยุคก่อน เมืองเซนไดยังมีบริการรถบัสรอบเมือง (Loople Sendai) ให้ได้นั่งชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้รอบเมืองอีกด้วย หากมีโอกาสอย่าลืมแวะกันมาให้ได้นะคะ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ :https://www.zuihoden.com/th/
Location :https://goo.gl/maps/2JpXqCoKGsPR2KCg7
เวลาทำการ :1 กุมภาพันธ์ – 30 พฤศจิกายน 9.00-16.50 น. (ปิดให้เข้าชม 16.30 น.)
ค่าใช้จ่าย :ผู้ใหญ่ 570 เยน นักเรียนมัธยมปลาย 410 เยน นักเรียนมัธยมต้นและประถม  210 เยน 
การเดินทาง :ขึ้นชานชาลารถบัสหมายเลข 16 จากสถานี JR Sendai และนั่งรถบัส  Loople Sendai
ประมาณ 13 นาที ลงที่ป้าย Zuihoden-mae แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
***มีส่วนลดสำหรับ Loople Sendai 1 day pass

เห็นความสวยงามของทัศนียภาพที่ภูมิภาคโทโฮคุกันไปแล้ว คงจะช่วยคลายความคิดถึงญี่ปุ่นลงได้บ้างนะคะ เอาไว้ถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็ตามรอยไปเช็คอินกับสถานที่ต่างๆ เหล่านี้กันได้เลยค่ะ รับรองว่าประทับใจกันอย่างแน่นอนค่ะ…